นางสาว บุญสิตา อินทร์พรม รหัสนักศึกษา 6031280051
สแกนเนอร์
สแกนเนอร์ คืออุปกรณ์ซึ่งจับภาพและเปลี่ยนแปลงภาพจากรูปแบบของแอนาลอกเป็นดิจิตอลซึ่งคอมพิวเตอร์ สามารถแสดง, เรียบเรียง, เก็บรักษาและผลิตออกมาได้ ภาพนั้นอาจจะเป็นรูปถ่าย, ข้อความ, ภาพวาด หรือแม้แต่วัตถุสามมิติ สามารถใช้สแกนเนอร์ทำงานต่างๆได้ดังนี้
ในงานเกี่ยวกับงานศิลปะหรือภาพถ่ายในเอกสาร
บันทึกข้อมูลลงในเวิร์ดโปรเซสเซอร์
แฟ็กเอกสาร ภายใต้ดาต้าเบส และ เวิร์ดโปรเซสเซอร์
เพิ่มเติมภาพและจินตนาการต่าง ๆ ลงไปในผลิตภัณฑ์สื่อโฆษณาต่าง ๆ
โดยพื้นฐานการทำงานของสแกนเนอร์, ชนิดของสแกนเนอร์ และความสามารถในการทำงานของสแกนเนอร์แบ่งออกได้ดังต่อไปนี้
ชนิดของเครื่องสแกนเนอร์
สแกนเนอร์สามารถจัดแบ่งตามลักษณะทั่วๆ ไป ได้ 2 ชนิด คือ
Flatbed scanners, ซึ่งใช้สแกนภาพถ่ายหรือภาพพิมพ์ต่าง ๆ สแกนเนอร์ ชนิดนี้มีพื้นผิวแก้วบนโลหะที่เป็นตัวสแกน เช่น ScanMaker III Transparency and slide scanners, ซึ่งถูกใช้สแกนโลหะโปร่ง เช่น ฟิล์มและ สไลด์
การทำงานของสแกนเนอร์
การจับภาพของสแกนเนอร์ ทำโดยฉายแสงบนเอกสารที่จะสแกน แสงจะผ่านกลับไปมาและภาพ จะถูกจับโดยเซลล์ที่ไวต่อแสง เรียกว่า charge-couple device หรือ CCD ซึ่งโดยปกติพื้นที่มืดบน กระดาษจะสะท้อนแสงได้น้อยและพื้นที่ที่สว่างบนกระดาษจะสะท้อนแสงได้มากกว่า CCD จะสืบหาปริมาณแสงที่สะท้อนกลับ
จากแต่ละพื้นที่ของภาพนั้น และเปลี่ยนคลื่นของแสงที่สะท้อน กลับมาเป็นข้อมูลดิจิตอล หลังจากนั้นซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับการสแกนภาพก็จะแปลงเอาสัญญาณเหล่านั้นกลับมาเป็นภาพ บนคอมพิวเตอร์อีกทีหนึ่ง
สิ่งที่จำเป็นสำหรับการสแกนภาพมีดังนี้
สแกนเนอร์
สาย SCSI สำหรับต่อจากสแกนเนอร์ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์
ซอฟต์แวร์สำหรับการสแกนภาพ ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของสแกนเนอร์ให้ สแกนภาพตามที่กำหนด
สแกนเอกสารเก็บไว้เป็นไฟล์ที่นำกลับมาแก้ไขได้อาจต้องมีซอฟต์แวร์ที่สนับสนุนด้าน OCR
จอภาพที่เหมาะสมสำหรับการแสดงภาพที่สแกนมาจากสแกนเนอร์
เครื่องมือสำหรับแสดงพิมพ์ภาพที่สแกน เช่น เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์หรือสไลด์โปรเจคเตอร์
ประเภทของภาพที่เกิดจากการสแกน แบ่งเป็นประเภทดังนี้
1. ภาพ Single Bit
ภาพ Single Bit เป็นภาพที่มีความหยาบมากที่สุดใช้พื้นที่ในการเก็บข้อมูล น้อยที่สุดและ นำมาใช้ประโยชน์อะไรไ่ม่ค่อยได้ แต่ข้อดีของภาพประเภทนี้คือ ใช้ทรัพยากรของเครื่องน้อยที่สุดใช้พื้นที่ ในการเก็บข้อมูลน้อยที่สุด ใช้ระยะเวลาในการสแกนภาพน้อยที่สุด Single-bit แบ่งออกได้สองประเภทคือ
Line Art ได้แก่ภาพที่มีส่วนประกอบเป็นภาพขาวดำ ตัวอย่างของภาพพวกนี้ ได้แก่ ภาพที่ได้จากการสเก็ต
Halftone ภาพพวกนี้จะให้สีที่เป็นโทนสีเทามากกว่า แต่โดยทั่วไปยังถูกจัดว่าเป็นภาพประเภท Single-bit เนื่องจากเป็นภาพหยาบๆ
2. ภาพ Gray Scale
ภาพพวกนี้จะมีส่วนประกอบมากกว่าภาพขาวดำ โดยจะประกอบด้วยเฉดสีเทาเป็นลำดับขั้น ทำให้เห็นรายละเอียดด้านแสง-เงา ความชัดลึกมากขึ้นกว่าเดิมภาพพวกนี้แต่ละพิกเซลหรือแต่ละจุดของภาพอาจประกอบด้วยจำนวนบิตมากกว่า
ต้องการพื้นที่เก็บข้อมูลมากขึ้น
3. ภาพสี
หนึ่งพิกเซลของภาพสีนั้นประกอบด้วยจำนวนบิตมหาศาล และใช้พื้นที่เก็บข้อมูลมาก ควาามสามารถในการสแกนภาพออกมาได้ละเอียดขนาดไหนนั้นขึ้นอยู่กับว่าใช้สแกนเนอร์ขนาดความละเอียดเท่าไร
4. ตัวหนังสือ
ตัวหนังสือในที่นี้ ได้แก่ เอกสารต่างๆ เช่น ต้องการเก็บเอกสารโดยไม่ต้อง พิมพ์ลงในแฟ้มเอกสารของเวิร์ดโปรเซสเซอร์ ก็สามารถใช้สแกนเนอร์สแกนเอกสาร ดังกล่าว และเก็บไว้เป็นแฟ้มเอกสารได้ นอก จากนี้ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันสามารถใช้ โปรแกรมที่สนับสนุน OCR (Optical Characters Reconize) มาแปลงแฟ้มภาพเป็น เอกสารดังกล่าวออกมาเป็นแฟ้มข้อมูลที่สามารถแก้ไขได้
สแกนเนอร์ แบ่งได้เป็น 3 ประเภทคือ
1. แบบเลื่อนกระดาษ (Sheet-fed scanner)
สแกนเนอร์ แบบนี้จะรับกระดาษแล้วค่อย ๆ เลื่อนหน้ากระดาษแผ่นนั้นให้ผ่านหัวสแกนซึ่ง อยู่กับที่ข้อจำกัดของสแกนเนอร์ แบบเลื่อนกระดาษ คือ สามารถอ่านภาพที่เป็นแผ่นกระดาษได้เท่านั้น ไม่สามารถอ่านภาพจากสมุดหรือหนังสือได้
2. แบบแท่นนอน (flatbed scanner)
สแกนเนอร์ แบบนี้จะมีกลไกคล้าย ๆ กับเครื่องถ่ายเอกสาร เราแค่วางหนังสือหรือภาพไว้บนแผ่นกระจกใส และเมื่อทำการสแกน หัวสแกนก็จะเคลื่อนที่จากปลายด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง ข้อจำกัดของสแกนเนอร์ แบบแท่นนอน คือ แม้ว่าอ่านภาพจากหนังสือได้ แต่กลไกภายในต้องใช้ การสะท้อนแสงผ่านกระจกหลายแผ่น ทำให้ภาพมีคุณภาพไม่ดีเมื่อเทียบกับแบบแรก
3. แบบมือถือ (Hand-held scanner)
สแกนเนอร์ แบบนี้ผู้ใช้ต้องเลื่อนหัวสแกนเนอร์ไปบนหนังสือหรือรูปภาพเอง สแกนเนอร์ แบบมือถือได้รวมเอาข้อดีของสแกนเนอร์ ทั้งสองแบบเข้าไว้ด้วยกันและมีราคาถูก เพราะกลไกที่ใช้ไม่สลับซับซ้อน แต่ก็มีข้อจำกัดตรงที่ว่าภาพที่ได้จะมีคุณภาพแค่ไหนขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอ ในการเลื่อนหัวสแกนเนอร์ของผู้ใช้งาน
บาร์โค้ด
หลักการทำงานของเครื่องอ่านบาร์โค้ด
ก่อนจะมีการนำรหัสบาร์โค้ดมาใช้กันอย่างแพร่หลาย ร้านค้าปลีกและโรงงานต่าง ๆ ต้องใช้พนักงานป้อนข้อมูลผ่านแป้นพิมพ์ลงบัญชีทุกครั้งที่มีการรับของและจำหน่ายออก ตลอดจนใช้พนักงานในการเดินนับสินค้าในโกดัง จากนั้นนำมาหักลบกับยอดขายเพื่อทำบัญชีในการคำนวณสินค้าคงเหลือ มีขั้นตอนการทำงานที่ซ้ำซ้อน สิ้นเปลืองทั้งเวลาและแรงงานคน ทั้งมีโอกาสเกิดความผิดพลาดหรือการทุจริตได้ง่าย ในปัจจุบันการตรวจรหัสสินค้าด้วยเครื่องอ่านบาร์โค้ดให้ประโยชน์มาก เพราะความสะดวกในการเช็คยอดขายและส่งข้อมูลตัดสต็อกสินค้าโดยอัตโนมัติ ทำให้เป็นที่นิยมในร้านสะดวกซื้อทั่วไป ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล การขนส่งและโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ
เครื่องอ่านบาร์โค้ด แบ่งออกได้หลายแบบ เช่น แบบตั้งโต๊ะยึดติดกับที่แบบมือจับมีสายเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์และแบบไร้สาย ทุกแบบมีหลักการทำงานเหมือนกัน คือ การแปลงข้อมูลจากรหัสแท่ง 1 มิติ ที่มีลักษณะเป็นแท่งสีขาวและดำมีความกว้างของแถบที่ต่างกัน ประโยชน์หลัก ๆ ของรหัสแท่งบาร์โค้ดแบบนี้ช่วยให้ป้อนข้อมูลสะดวกรวดเร็ว ไม่ได้เน้นเก็บข้อมูลอย่างละเอียด เพียงแต่นำไปอ้างอิงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องในคอมพิวเตอร์ช่วยให้จัดการข้อมูลง่ายและแม่นยำยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันยังมีรหัสแท่งแบบ 2 มิติ ที่บรรจุข้อมูลทั้งแนวตั้งแนวนอนและบรรจุข้อมูลจำนวนมากประมาณ 4,000 ตัวอักษร รหัสแท่งแต่ละแบบมีลักษณะแตกต่างกันไป พบเห็นทั่วไปบนซองบรรจุอาหาร กล่องสินค้า ตลอดจนภาคบริการและอุตสาหกรรมหลายประเภท ต้องเลือกใช้งานควบคู่กับ เครื่องอ่านบาร์โค้ด อย่างถูกต้องเหมาะสม
หลักการทำงานของเครื่องอ่านบาร์โค้ด อธิบายขั้นตอนได้ง่าย ๆ ดังนี้
1. แหล่งกำเนิดแสงของเครื่องอ่านจะฉายแสงลงบนแท่งบาร์โค้ด กวาดแสงอ่านผ่านแท่งบาร์โค้ด การอ่านรหัสแถบบาร์โค้ด โดยทั่วไปนิยมใช้แสงอินฟราเรดอ่านแถบขาวสลับดำ ลำแสงที่ปล่อยออกมาจากหัวอ่านจะสะท้อนกลับจากพื้นสว่างได้มากกว่าพื้นมืด แสงสะท้อนกลับมาจากแท่งบาร์โค้ดมายังตัวรับแสง
2. ภายในเครื่องอ่านจะมีอุปกรณ์เปลี่ยนแสงที่สะท้อนกลับมาให้กลายเป็นสัญญาณดิจิตอล ซึ่งนำมาเปรียบเทียบกับตารางบาร์โค้ดเพื่อถอดเป็นข้อมูล เช่น ตัวเลข ตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ ซึ่งระบุชื่อสินค้าและอื่น ๆ จากนั้นจะบันทึกข้อมูลในคอมพิวเตอร์โดยตรง โดยไม่ต้องกดปุ่มที่แป้นพิมพ์ สามารถอ่านข้อมูลอย่างถูกต้องแม่นยำและเชื่อถือได้
3. ระบบการอ่านบาร์โค้ดแสดงผลทั้งการอ่านข้อมูลตามปกติ และการตรวจสอบความถูกต้องของแท่งบาร์โค้ด สำหรับขั้นตอนการตรวจสอบความถูกต้อง หากพบข้อผิดพลาดโปรแกรมจะทำการแก้ไขและอ่านบาร์โค้ดใหม่อีกครั้ง มีความสะดวกในการจัดเก็บข้อมูล ตรวจสอบและประมวลได้อย่างแม่นยำมากขึ้น
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับรหัสแท่งมีส่วนสำคัญเพื่อให้ใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการอ่านข้อมูลที่อาศัยหลักการสะท้อนแสงย่อมมีข้อจำกัดเหมือนกัน เครื่องอ่านบาร์โค้ดทำให้ระบบเก็บบันทึกและบริหารจัดการข้อมูลแบบอัตโนมัติ ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการทำงาน ผู้ใช้ควรระวังไม่ใช้งานในพื้นที่เปียกชื้น เพราะความชื้นมีผลให้การอ่านข้อมูลผิดพลาด หากวัตถุที่ติดฉลากบาร์โค้ดเคลื่อนที่รวดเร็วจะทำให้อ่านข้อมูลได้ยากเช่นกัน หรือถ้ามีวัตถุสิ่งอื่นปิดบังแถบบาร์โค้ดจะทำให้อ่านข้อมูลไม่ได้ ระบบบาร์โค้ดเป็นมาตรฐานสากล มีความน่าเชื่อถือ หากใช้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมจะอำนวยความสะดวกและเกิดประโยชน์แก่ผู้ใช้งานมากที่สุด
บาร์โค้ด หรือ รหัสแท่ง (อังกฤษ : Barcode) เป็นหนึ่งในหลายวิธีที่ได้ผลดี ในการตรวจสอบสินค้าขณะขาย , การตรวจสอบยอดการขาย และสินค้าคงคลัง เราสามารถที่จะอ่านบาร์โค้ดได้ โดยใช้เครื่องสแกนเนอร์ ( Barcode Scanner ) หรือเครื่องอ่านบาร์โค้ด ซึ่งวิธีนี้จะรวดเร็วกว่าการป้อนข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ( Computer ) โดยเปลี่ยนเป็นวิธีการยิงเลเซอร์ไปยังแท่งบาร์โค้ด โดยเครื่องสแกนจะทำหน้าที่เป็นฮาร์ดแวร์ ( HardWare ) ส่งข้อมูลไปยังคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันมีการประยุกต์การใช้งานบาร์โค้ดเข้ากับการใช้งานของ Mobile Computer ซึ่งสามารถพกพาได้สะดวก เพื่อทำการจัดเก็บ แสดงผล ตรวจสอบ และประมวลในด้านอื่นๆ หรือบางครั้งสามารถอ่านด้วยสายตา เช่น ตัวเลขที่พ่วงกับแท่งบาร์โค้ดบางครั้งจะอยู่ด้านบน หรือ ด้านล่าง (แต่สายตาไม่สามารถอ่านแท่งบาร์โค้ดได้) บาร์ โค้ด (Barcode) เป็นรหัสแท่งประกอบด้วยเส้นที่มีความเข้ม (มักจะเป็นสีดำ) และเส้นสว่าง (มักเป็นสีขาว) วางเรียงกันเป็นแนวดิ่ง เป็นรหัสแทนตัวเลขและตัวอักษร ใช้เพื่ออำนวยความสะดวกให้เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถอ่านรหัสข้อมูลได้ง่าย ขึ้น โดยใช้เครื่องอ่านบาร์โค้ด (Barcode Scanner) ซึ่งจะทำงานได้รวดเร็ว และช่วยลดความผิดพลาดในการคีย์ข้อมูลได้มาก บาร์โค้ดเริ่มกำเนิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1950 โดยประเทศสหรัฐอเมริกาได้จัดตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจทางด้านพาณิชย์ขึ้น สำหรับค้นคว้ารหัสมาตรฐานและสัญลักษณ์ที่สามารถช่วยกิจการด้านอุตสาหกรรม และสามารถจัดพิมพ์ระบบบาร์โค้ดระบบ UPC-Uniformขึ้นได้ในปี 1973 ต่อมาในปี 1975 กลุ่มประเทศยุโรปจัดตั้งคณะกรรมการด้านวิชาการเพื่อสร้างระบบบาร์โค้ดเรียก ว่า EAN-European Article Numberingสมาคม EAN เติบโตครอบคลุมยุโรปและประเทศอื่นๆ (ยกเว้นอเมริกาเหนือ) และระบบบาร์โค้ด EAN เริ่มเข้ามาในประเทศไทยเมื่อปี 1987
แต่เดิมมีการใช้บาร์โค้ดในร้านขายของชำและตามปกหนังสือ มาพบในร้านอุปกรณ์ประกอบรถยนต์และร้านอุปโภคบริโภคทั่วไป ในแถบยุโรปรถบรรทุก ทุกคัน ที่จะต้องวิ่งระหว่างประเทศฝรั่งเศสและประเทศเยอรมนี จะต้องใช้บาร์โค้ดที่หน้าต่างทุกคัน เพื่อใช้ในการแสดงใบขับขี่ ใบอนุญาต และน้ำหนักรถบรรทุก แก่เจ้าหน้าที่ศุลกากร สามารถตรวจได้ง่ายและรวดเร็ว ในขณะที่รถลดความเร็ว เครื่องตรวจจะอ่านข้อมูลจากบาร์โค้ด และแสดงข้อมูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์ทันทีแท่ง
BARCODE แท่งรหัส บาร์โค้ด ที่ใช้กันใหญ่ ทั้ง สินค้าอุปโภค สินค้าบริโภค อุตสาหกรรมขนาดเล็ก อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ หน่วยงานรัฐบาล หน่วยงานเอกชน โรงพยาบาล ฯลฯ เป็นต้น ดังต่อไปนี้
UPC-A (Universal Product Code) พบมากในธุรกิจค้าปลีกของประเทศสหรัฐอเมริกา และ แคนนาดา รหัสบาร์โค้ดที่ใช้เป็นแบบ 12 หลัก หลักที่1 เป็นหลักที่ระบุประเภทสินค้า และตัวที่ 12 เป็นหลักที่แสดงตัวเลขที่ใช้ตรวจสอบความถูกต้องของบาร์โค้ด รหัสบาร์โค้ดแบบ UPC มีหน่วยงาน Uniform Council [UCC] ที่ตั้งอยู่รัฐ OHIO ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ดูแลในการจดทะเบียนบาร์โค้ด
Interleaved 2 of 5 เป็นรหัสบาร์โค้ดที่ใช้ในระบบรับ-ส่งสินค้า รหัสบาร์โค้ดแบบนี้เหมาะสำหรับพิมพ์ลงบนกระดาษลูกฟูก มักใช้ในโกดังจัดเก็บสินค้า และอุตสาหกรรมต่างๆ
โค้ด 128 (Code 128) เนื่องจากโค้ด 39 เก็บข้อมูลที่เป็นตัวอักษรได้ค่อนข้างจำกัด ดังนั้นจึงได้มีการพัฒนาโค้ด 128 ขึ้นมาใช้งาน และเหมาะสมกับฉลากสินค้าที่มีพื้นที่จำกัด เพราะรหัสแท่งแบบโค้ด 128 นี้จะกะทัดรัดและดูแน่นกว่าโค้ด 39 โดยทั่วไปแล้วโค้ด 128 นิยมใช้ในอุตสาหกรรม การจัดส่งสินค้าซึ่งมีปัญหาด้านการพิมพ์ฉลาก
Data Matix บาร์โค้ด 2 มิติแบบนี้ ถูกพัฒนาโดยบริษัท RVSI Acuity Cimatrix ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี ค.ศ. 1989 สอดคล้องกับมาตรฐาน ISO/IEC 16022 และ ANSI/AIM BC11-ISS-Data Matrix ลักษณะบาร์โค้ดมีทั้งรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสและสี่เหลี่ยมผืนผ้า สำหรับบาร์โค้ดรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสมีโมดูลข้อมูลระหว่าง 10 x 10 ถึง 144 x 144 โมดูล และรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามี 8 x 18 ถึง 16 x 48 โมดูล Data Matrix สามารถบรรจุข้อมูลได้มากที่สุด 3,116 ตัวเลข หรือ2.355 ตัวอักษร แต่สำหรับข้อมูลประเภทอื่นได้แก่ข้อมูลเลขฐานสองบรรจุได้ 1,556 ไบต์ (1 ไบต์เท่ากับเลขฐานสอง 8 หลัก) และตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นบรรจุได้778 ตัวอักษร รูปแบบค้นหาของบาร์โค้ดแบบ Data Matrix อยู่ที่ตำแหน่งของด้านซ้ายและด้านล่างของบาร์โค้ด บาร์โค้ด Data Matrix ส่วนใหญ่ใช้ในงานที่มีพื้นที่จำกัดและต้องการบาร์โค้ดขนาดเล็ก
EAN-13 เป็นบาร์โค้ดแบบ EAN ที่เหมาะสมหรับผลิตภัณฑ์ขนาดเล็ก ใช้หลักการคล้ายกันกับบาร์โค้ดแบบ EAN-13 แต่จำนวนหลักน้อยกว่า คือ จะมีตัวเลข 2 หรือ 3 หลัก แทนรหัสประเทศ 4 หรือ 5 หลักเป็นข้อมูลสินค้า และอีก 1 หลักสำหรับตัวเลขตรวจสอบความถูกต้องของบาร์โค้ด (Check Digit) แต่สามารถขยายจำนวนหลักออกไปได้อีก 2 หรือ 5 หลัก ในลักษณะของ Extension Barcode (UPC-A+2 , UPC-A+5 ) ซึ่งเป็นคนละลักษณะกับการใช้บาร์โค้ดแบบ UPC-E ที่จะต้องพิมพ์ออกมาในรูปแบบเต็มเหมือน UPC-A แต่ทำการตัด 0 (ศูนย์) ออก ข้อมูลตัวเลขในสัญลักษณ์บาร์โค้ดแบบ EAN-8 จะบ่งชี้ถึงผู้ผลิตและผลิตภัณฑ์ และเมื่อมีการใช้ EAN-8 มากขึ้นในหลายประเทศ จำนวนของตัวเลขที่นำมาใช้ซึ่งมีจำนวนจำกัดทำให้ไม่เพียงพอกับผู้ใช้จึงหันมา ใช้บาร์โค้ดแบบ EAN-13 แทน
QR Code เก็บไว้เป็นข้อมูลตัวอักษรเราจึงสามารถนำ QR Code มาประยุกต์ใช้ได้หลากหลายรูปแบบ เช่น เก็บข้อมูล URL ของเว็บไซต์, ข้อความ, เบอร์โทรศัพท์ และข้อมูลที่เป็นตัวอักษรได้อีกมากมาย ปัจจุบัน QR Code ถูกนำไปใช้ในหลายๆ ด้านเนื่องจากความ “ง่าย” เพราะทุกวันนี้คนส่วนใหญ่จะมีมือถือกันทุกคนและมือถือเดี๋ยวนี้ก็มีกล้อง เกือบทุกรุ่นแล้ว ประโยชน์ที่เห็นได้ชัดที่สุดของ QR Code ก็คือการเก็บ URL ของเว็บไซต์ เพราะ URL โดยปกติแล้วจะเป็นอะไรที่จดจำได้ยากเพราะยาวและบางอันจะซับซ้อนมาก ขนาดจดยังทำไม่ได้ แต่ด้วย QR Code เราเพียงแค่ยกมือถือมาสแกน QR Code ที่เราพบเห็นตามผลิตภัณต์ต่างๆ, นามบัตร, นิตยสาร ฯลฯ แล้วมือถือจะลิ้งค์เข้าเว็บเพจที่ QR Code นั้นๆ บันทึกข้อมูลอยู่โดยอัติโนมัติ และด้วยการมาของระบบ 3G ที่ค่ายมือถือต่างๆ ใน
บ้านเราเช่น True Move และ AIS เริ่มนำเข้ามาให้บริการแล้ว จะทำให้เราสามารถเข้าอินเตอร์เน็ตบนมือถือได้อย่างรวดเร็วและ นอกจากนี้ QR Code ยังเริ่มนิยมอยู่บนนามบัตรแล้วด้วย โดยจะใช้ QR Code บันทึก URL ของข้อมูลส่วนต่างๆ บนเว็บไซต์ เช่น อีเมล์, Hi5, MSN หรือจะเก็บข้อมูลส่วนในรูปแบบตัวอักษร เช่น ชือ ตำแหน่ง ที่อยู่ เบอร์โทร ฯลฯ ซึ่งอาจทำให้ในอนาคตเราอาจไม่จำเป็นต้องแลกนามบัตรกันอีกต่อไป เพียงแค่เอามือถือมาสแกนที่นามบัตร ข้อมูลบนนามบัตรทุกๆ อย่างก็จะถูกจัดเก็บเข้ามือถือทันที
เครื่องคิดเงินร้านค้า
เครื่องบันทึกเงินสด Casio รุ่น TE-2200 [CASIO TE-2200]
รายละเอียดสินค้า
- บันทึกชื่อรายการสินค้า BARCODE หรือ PLU สูงสุดได้ 5000 รายการ
- กำหนดแผนกได้ 99 แผนก (DEPARTMENT) เหมาะสำหรับร้านมินิมาร์ท, ร้านค้าปลีกทั่วไป
- รองรับระบบภาษาไทยสมบูรณ์แบบ
- จอแสดงผลแบบ BACKLIGHT LCD กว้างถึง 5.2 นิ้ว 3 บรรทัด
- สามารถบันทึกยอดขายจากพนักงานเก็บเงินได้ 15 คน
- มีจอแสดงผลสำหรับลูกค้า ( CUSTOMER DISPLAY )
- สามารถต่อกับ COMPUTER เพื่อโปรแกรมข้อมูลแล้วส่งไปที่เครื่องเก็บเงิน
- สามารถต่อกับ SCANNER BARCODE, SLIP PRINTER, KITCHEN PRINTER
- สามารถใช้งานร่วมกับ CF CARD (Compact Flash) เพื่อเก็บข้อมูลและยอดขายต่างๆได้
- มีปุ่ม HELP KEY เพื่อแนะนำการโปรแกรมที่ใช้งานบ่อยๆ
- สามารถตัด STOCK สินค้าที่เครื่องได้ทันทีณ จุดขาย และแจ้งเตือนเมื่อสินค้าใกล้หมด
- สามารถรายงานสินค้าที่ขายดีได้ 50 อันดับ เพื่อบริหารข้อมูลในการสั่งสินค้าให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- สรุปยอดขายทั้งรายชั่วโมง รายวัน รายเดือนได้
- สามารถพิมพ์โลโก้และชื่อร้านค้าและลายน้ำลงบนใบเสร็จได้ 12 บรรทัด
- สามารถบันทึกคำว่า TAX INV (ABB) หรือคำว่า TAX INVOICE (ABB) ไว้ในใบกำกับภาษีอย่างย่อได้
- ระบบหัวพิมพ์เป็นแบบความร้อน THERMAL PRINTER
- มี 2 หัวพิมพ์ คือ ม้วนสำเนา และใบเสร็จลูกค้า
- ความเร็วในการพิมพ์ 14 บรรทัดต่อวินาที ใช้กระดาษความร้อนกว้าง 58 มิลลิเมตร
- ลิ้นชักมี 4 ช่องแบงค์ 8 ช่องเหรียญ
- โปรโมรชั่น "แถมเครื่องสแกนบาร์โค๊ต"
รองรับระบบ Scanner Barcode
- เครื่องบันทึกเงินสดรุ่นนี้สามารถใช้ได้กับเครื่องสแกนบาร์โคด ( Scanner Barcode )
- สะดวก รวดเร็ว และง่ายต่อการขายสินค้า
- สามารถบันทึกรายการสินค้าผ่านเครื่องสแกนบาร์โค็ดได้เลย
- มิได้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-623-1515 หรือ info@officedesign.co.th
สามารถใส่โลโก้ร้านค้าได้
- เครื่องบันทึกเงินสดรุ่นนี้สามารถใส่โลโก้ร้านค้า และข้อความได้นะคะ ซึ่งจะเป็นตัวช่วยให้ลูกค้าจดจำร้านค้า หรือบริษัทของเราได้ง่ายขึ้น
- ใช้งานผ่านสาย Data link และ Software ( มิได้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-623-1515 หรือ info@officedesign.co.th
เหมาะกับมินิมาร์ทและร้านค้าปลีก
|
|
- เครื่องบันทึกเงินสดรุ่นนี้เหมาะกับมินิมาร์ท และร้านค้าปลีก โดยสามารถกำหนดส่วนลด ค่าบริการ (service charges) ได้
- สามารถทำการคำนวณบวก ลบ คูณ และคิดเปอร์เซ็นต์ พร้อมแจ้งยอดเงินทอน และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
|
ตัดสต๊อกทันที ณ จุดขาย
- สามารถตัด STOCK สินค้าที่เครื่องได้ทันที ณ จุดขาย ซึ่งจะช่วยให้ร้านค้าหรือบริษัทไม่ต้องเสียเวลา และปวดหัวกับยอดสต๊อคและยอดขายสินค้าที่ไม่ตรงกัน
- ใช้งานผ่าน สาย Data link และ Software ( มิได้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-623-1515 หรือ info@officedesign.co.th
สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์อื่นๆ ได้ 2 พอร์ท
|
|
- เครื่องบันทึกเงินสดรุ่นนี้สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ เพิ่มเติมได้ โดยจะมีพอร์ทสำหรับต่อจำนวน 2 พอร์ท ( ใช้ต่อกับเครื่องตอมพิวเตอร์ เครื่องสแกนบาร์โคด หรือเครื่องพิมพ์ใบเสร็จรับเงินได้ )
|
มี 2 หัวพิมพ์กระดาษ
|
- เครื่องบันทึกเงินสดรุ่นนี้มี 2 หัวพิมพ์ สามารถพิมพ์ต้นฉบับและสำเนาใบเสร็จรับเงิน เพื่อให้ลูกค้าและร้านค้าเก็บไว้เป็นหลักฐานการรับชำระเงินได้
| |
ออกใบกำกับภาษีอย่างย่อ
|
|
- สามารถบันทึกคำว่า “ใบกำกับภาษีอย่างย่อ” หรือคำว่า “TAX INV (ABB)” หรือคำว่า “TAX INVOICE (ABB)” ไว้บนกระดาษใบเสร๊จรับเงินได้
- ใช้ งานผ่านสาย Data link และ Software ( มิได้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 02-623-1515 หรือ info@officedesign.co.th
|
มีระบบสำรองข้อมูล
|
- เครื่องบันทึกเงินสดรุ่นนี้สามารถสำรองข้อมูลการขาย หากเกิดกรณีไฟฟ้าดับ(เครื่องจะทำการบันทึกข้อมูลทุกอย่างก่อนไฟฟ้าดับโดยอัตโนมัติ และเมื่อกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ภาวะปกติ เครื่องจะทำการคืนสถานะการยันทึกการขายล่าสุดก่อนไฟฟ้าดับอัตโนมัติ)
| |
มีลิ้นชักเก็บเงินในตัว
|
- เครื่องบันทึกเงินสดรุ่นนี้มีลิ้นชักเก็บเงินในตัว เมื่อมีการรับเงินจากลูกค้า ลิ้นชักเก็บเงินจะถูกเปิดออกอย่างอัตโนมัติ
- มีระบบรักษาความปลอดภัยด้วยกุญแจ 2 ประเภท (เจ้าของ, แคชเชียร์)
- ลิ้นชักมี 4 ช่องแบงค์ 8 ช่องเหรียญ
| |
ใช้กระดาษความร้อน
|
|
- เครื่องบันทึกเงินสดรุ่นนี้มีชุดหัวพิมพ์แบบ Thermal จึงไม่ต้องเติมหมึกพิมพ์ให้เสียเวลา และยุ่งยาก
- ใช้ คู่กับกระดาษความร้อนเท่านั้นนะคะ ซึ่งกระดาษความร้อน หรือเรียกอีกอย่างว่า กระดาษ Thermal จะมีลักษณะคล้ายกระดาษแฟ็กซ์หรือสลิปกดเงินจากคู้ ATM
- กระดาษกว้างขนาด 57 ม.ม.
- ฟรี กระดาษบวกเลข 1 ม้วน พิเศษเฉพาะที่นี่ที่เดียว เมื่อสั่งซื้อเครื่องบันทึกเงินสดรุ่นใดก็ได้
|
|
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น